วันเสาร์, กันยายน 27, 2557

ชื่อเดือนทั้ง 12 ของญี่ปุ่น

ของเก่าเอามารีรันใหม่ครับ เขียนไว้ตั้งแต่ปี 2011 นานเชียว...

ชื่อเดือนทั้ง 12 ของญี่ปุ่น


โดยปกติแล้ว ญี่ปุ่นจะเรียกเนับเดือนกันตามลำดับแบบง่ายๆเช่น เดือน 1 เดือน 3 แต่จริงๆแล้วก็มีชื่อเดือนอย่างที่บ้านเราเรียกมกราคม หรือ เมษายนอยู่ คนญี่ปุ่นสมัยใหม่ก็ไม่ค่อยรู้กันเพราะไม่ค่อยมีใครใช้กันแล้ว ส่วนตัวผมคุ้ยเพราะสนุกดี ฮา เรื่องมันเริ่มมาจากอนิเมมิโกะเดือนสิบนี่ล่ะ โดยชื่อทั้ง 12 เดือนของญี่ปุ่นจะมีดังนี้ครับ

เดือน 1月 - 睦月(むつき)มุทสึกิ
เดือน 2月 - 如月 または 衣更着(きさらぎ)คิสะระงิ
เดือน 3月 - 弥生(やよい)ยาโยอิ
เดือน 4月 - 卯月(うづき)อุทซึกิ
เดือน 5月 - 皐月 または 早月(さつき)สัทสึกิ
เดือน 6月 - 水無月(みなづき)มินะซึกิ
เดือน 7月 - 文月(ふみつき)ฟุมิสึกิ
เดือน 8月 - 葉月(はづき)ฮะซึกิ
เดือน 9月 - 長月(ながつき)นางะสึกิ
เดือน 10月 - 神無月(かんなづき)、出雲地方では神在月(かみありつき)คันนะซึกิ หรือพื้นที่อิซึโมะเรียกว่า คามิอะริสึกิ
เดือน 11月 - 霜月(しもつき)ชิโมะสึกิ
เดือน 12月 - 師走(しわす、しはす)ชิวะสึ หรือ ชิฮะสึ

โดยแต่ละเดือนก็มีประวัติความเป็นมาเหมือนกันครับ ไม่พูดมากเริ่มจากเดือนแรกกันเลย

เดือน 1月 - 睦月(むつき)มุทสึกิ 
โดยความหมายตามคันจิแล้ว 睦 หมายถึงมิตรภาพ การเชื่อมโยง เดือนนี้เป็นเดือนแรกของปีซึ่งคนในครอบครัวจะมารวมตัวกัน ซึ่งหมายถึงเทศกาลขึ้นปีใหม่นั่นเองครับ

เดือน 2月 - 如月 または 衣更着(きさらぎ)คิสะระงิ
ซึ่งถ้าตามความหมายคันจิชื่อที่สอง衣更着 นั้นมีคนให้เหตุผลว่า衣(き)更(さら)着。衣類をさらに着る月。ซึ่งหมายถึงการใส่เสื้อผ้าเพิ่มอีกชั้นหนึ่ง ที่เป็นแบบนี้เพราะว่าเดือนที่สองนั้นยังมีความหนาวเย็นจากฤดูหนาวอยู่ (ผมเข้าใจว่ามันเป็นกลางฤดูหนาวมาตลอดเลยนะเนี่ย หิมะจะตกก็ช่วงเดือนนี้) เพราะฉะนั้นเลยยังคงใส่เสื้อผ้าหลายชิ้น ซึ่งพอเข้าเดือนที่สามอากาศจะเริ่มอุ่นขึ้นครับ

เดือน 3月 - 弥生(やよい)ยาโยอิ
คนไทยหลายคนน่าจะคุ้นชื่อนี้ อาจเป็นเพราะเป็นชื่อร้านอาหาร (ฮา) สังเกตไหมครับว่าคันจิตัวหลังเป็นตัว 生 ที่เกี่ยวกับการกำเนิด นั่นเพราะเดือนนี้อากาศเริ่มอบอุ่น อีกเดี๋ยว(弥-いよいよ)พวกต้นไม้ใบหญ้าก็จะงอก(生)แล้ว

เดือน 4月 - 卯月(うづき)อุทซึกิ
เป็นเดือนที่ดอกอุทซึกิ(卯の花)จะบานครับ (ซากุระและดอกไม้ส่วนใหญ่ก็จะบานต้นเดือนนี้ล่ะครับ) นับว่าเป็นเดือนที่เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิอย่างเต็มตัว

เดือน 5月 - 皐月 または 早月(さつき)สัทสึกิ
เป็นเดือนที่เริ่มปลูกข้าว (早苗-ซานาเอะ หมายถึงการปลูกข้าว)ครับผม

จริงๆแล้วที่ผมมานั่งเขียนเรื่องนี้เพราะอยู่ดีๆ ก็สงสัยว่า นามสกุล ซาโอโตเมะ早乙女 นี่มาจากอะไร พอคุ้ย google ดูก็ปรากฏว่า นอกจาก早乙女 จะอ่านว่าซาโอโตเมะได้แล้ว ยังมีคันจิอีกกลุ่มที่อ่านว่า ซาโอโตเมะ ได้ด้วย คือ五月女 ซึ่งมีคนตอบไว้ว่า สาเหตุที่五月女 อ่านว่า ซาโอโตเมะ ได้นั้น เพราะ 早乙女 นี่หมายถึง หญิงสาวที่ปักชำข้าวในเดือน5 五月女 ที่มีความหมายตรงตัวตามคันจิเลยก็คือ หญิงสาว(女)เดือนห้า(五月) จึงอ่านได้ว่า ซาโอโตเมะ นั่นเองครับ

Credit : http://www.bionet.jp/2010/06/taue/

เดือน 6月 - 水無月(みなづき)มินะซึกิ
ตามความหมายคือ เดือน(月)แห่ง(な)น้ำ(水)ซึ่งเสียง なตรงนั้นภาษาในสมัยก่อนหมายถึง の ซึ่งใช้แสดงที่มา คือ水の月 นั่นเองครับ (ปล. ตัวคันจิ 無 อ่านว่า なしที่แปลว่า ไม่มีนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องทางความมายอย่างใดครับ เอามาแทนเสียง な เฉยๆ)

เดือน 7月 - 文月(ふみつき)ฟุมิสึกิ
ความหมายของเดือนนี้จะเกี่ยวเนื่องกับเดือน5 ครับ แน่นอนว่าเรื่องข้าว ปลูกแล้วก็ต้องผลิดอกออกรวง แต่ตัวคันจิคิดว่าเป็นการเล่นคำเสียงฟุมิของ 文 กับคำกริยา 含(ふ)み ที่แปลว่า รวม ครับ

เดือน 8月 - 葉月(はづき)ฮะซึกิ
เป็นเดือนที่ใบไม้(葉)จะเริ่มร่วง (落ちる)ครับ ซึ่งเดือนนี้ใบไม้จะเริ่มเปลี่ยนสี และร่วงหล่น ก็คือการเริ่มต้นของฤดูใบไม้ร่วงนั่นเอง (ทำไมมันยังร้อนอยู่ล่ะ...หรืออาจเป็นเพราะสมัยก่อนฤดูใบไม้ร่วงมาตอนเดือนแปด??)

เดือน 9月 - 長月(ながつき)นางะสึกิ
เป็นเดือนที่เริ่มมีช่วงกลางคืนที่นานขึ้นครับ (秋の夜長の月)ซึ่งช่วงนี้จะเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว (แต่นับตามสมัยนี้น่าจะเป็นช่วงปลายเดือน)

เดือน 10月 - 神無月(かんなづき)、出雲地方では神在月(かみありつき)คันนะซึกิ หรือที่แถบอิซึโมะจะเรียกกันว่า คามิอะริสึกิ
เป็นเดือนแห่งเทพเจ้า (神(かみ)な月)ซึ่งเป็นเดือนที่เทพเจ้าทั้ง 8 ล้านองค์ จะมารวมกันที่ศาลเจ้าอิซึโมะ ทำให้ไม่มีเทพเจ้าคุ้มครองประเทศ เหลือแค่เทพเจ้าเอบิสึไว้องค์เดียว ดังนั้นเดือนนี้จึงหมายถึงเดือนที่ไม่มีเทพเจ้า (神-เทพเจ้า , 無-ไม่มี) แต่ทางพื้นที่แถบอิซึโมะจะเรียกว่า神有月(かみありつき)ซึ่ง 有(あり) นั้นแปลว่า มี ตรงข้ามกับ無(なし) ที่แปลว่าไม่มี ตามที่กล่าวมาข้างต้นแถบอิซึโมะจึงเรียกเดือนนี้แปลกไปจากถื่นอื่นครับ

เดือน 11月 - 霜月(しもつき)ชิโมะทสึกิ
เดือนที่เริ่มมีน้ำค้างแข็ง คือเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวของญี่ปุ่น霜が降りる月 แปลว่า เดือนที่น้ำค้างแข็งตก นั่นเองครับ

เดือน 12月 - 師走(しわす、しはす)ชิวะสึ หรือ ชิฮะสึ
เป็นเดือนสุดท้ายซึ่งเป็นช่วงปลายปีที่จะเฉลิมฉลองการทำงานที่เหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งปี เดินสายพบญาติ เป็นเดือนที่ยุ่งวุ่นวาย ซึ่งมีคำเปรียบเทียบว่า年末で師も走るほど忙しい月 แปลว่า เดือนที่วุ่นวายถึงขนาดครูอาจารย์ยังต้องวิ่งเลย

ก็จบทั้ง 12 เดือนเพียงเท่านี้ครับ ถ้าผิดอะไรตรงไหนทักท้วงได้นะครับผม

Credit
http://ja.wikipedia.org/wiki/日本の暦
http://detail.chiebukuro.yahoo.co.jp/qa/question_detail/q1130863761

วันอาทิตย์, มีนาคม 23, 2557

SALMIAKKI ซัลมิอักกิ ลูกอมในตำนานของฟินแลนด์


จ่าหัวข้อซะดูอลังการเลย แต่ก็จริงครับ ซัลมิอักกิ เป็นลูกอมชื่อดังของฟินแลนด์ และเป็นที่นิยมมากในหมู่ชาวสุโอมี่ ลูกอมนี้ในหมู่ชาวต่างชาติเองก็ดังเหมือนกันครับ เป็นที่ขึ้นชื่อกันว่าเป็น “ลูกอมที่รสชาติเลวร้ายที่สุดในโลก” ยืนยันจากแทบทุกเสียงที่ได้ชิมไป

ผมรู้จักซัลมิอักกิจากอนิเมเรื่องสไตรค์วิชครับ แล้วเลยได้ยินชื่อเสีย... ด้านความเอร็ดอร่อยเสียจนต้องคายทิ้งอยู่เรื่อยๆ ขนาดในรายการวิทยุของSW เอง ช่วงที่มีให้ชิมอาหารหรือขนมของชาติต่างๆ จำได้ว่าไมตัน(ซาเนีย)ถึงขั้นร้องเสียงหลงกลางรายการว่า “แหวะ...ไม่อร่อยยยยย” แล้วคายทิ้งจนอายุตะ(เอล่า)ที่จัดรายการไม่กล้าชิมเลยครับ

เห็นขึ้นชื่อลือชามาก ผมก็เลยจัดหามาจากอเมซอน อยากรู้นักว่ามันจะรสชาติอย่างที่เขาร่ำลือกันไหม

ในที่สุดของก็ส่งมาถึงฮะ ยี่ห้อ Fazer เห็นว่าดังที่สุดละยี่ห้อนี้ (ขอบคุณร้าน Happy Haru ครับ)



ข้างหลังแปะสติกเกอร์ภาษาญี่ปุ่นไว้ เพราะผมสั่งมาจากอเมซอนญี่ปุ่นครับ เขียนว่าซอฟต์แคนดี้ (ผลิตภัณฑ์ของฟินแลนด์) แน่ใจนะว่าซอฟต์....

ส่วนประกอบก็เหมือนลูกอมทั่วไปครับ แต่...แต่!!!! เกลือแอมโมเนียยยยยยย ลูกอมบ้านเมิงใส่เกลือแอมโมเนียยยยยยยยย




เอาล่ะ ไหนๆ ตอนสั่งมาก็เตรียมใจไว้อยู่แล้ว แอมโมเนียก็แอมโมเนียวะ (泣)

ลองแกะห่อออกมาดูครับ ตัวเม็ดลูกอมจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดเล็กๆ ด้านหนึ่งมีตัวอักษร F ส่วนอีกด้านจะเว้าเข้าไปครับ





วิธีกิน คนฟินแลนด์จะเอาลูกอมนี่ใส่ลงไปในเบียร์ คือผสมเบียร์แล้วกินนั่นแหละครับ แต่จะอมเปล่าๆ ก็ได้ไม่ว่ากัน

เดี๋ยวผมขอตัวไปหยิบทิชชู่แป๊บนะฮะ....



ผมลองดมๆ ดู กลิ่นก็หอมๆ หวานๆ เหมือนลูกอมทั่วไปครับ ไม่ได้กลิ่นแอมโมเนียเลยสักนิด

เอาล่ะผมจะ...จะกินละนะครับ.....


(เข้าปาก)





อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก











ล้อเล่นอ่ะ เอะเฮะ *โดนถีบ*

เอาจริงๆ ละ....

วิแรก อืม..เค็มแฮะ.....น่าจะเพราะเกลือแอมโมเนีย....สักพักรสชาติจะออกคล้ายๆลูกอมแฮ็คอ่ะครับ เค็มๆ ไม่หวานเลยสักนิด ตัวลูกอมเองก็ไม่แข็ง ออกหยุ่นๆ เล็กน้อย

รีแอคชั่นผมไม่เหมือนกับคำร่ำลือแฮะ...ถ้าถามผม มันคือลูกอมใส่เกลือดีๆ นี่แหละ....แต่มันอร่อยมั้ย...ไม่ครับ

กุนึกว่ากุอมเม็ดเกลืออยู่ สัสสสสสสส ( ;;)

โอเค มันไม่อร่อย แต่ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น แต่คงไม่ใช่ลูกอมที่ถ้าอมแล้วจะชอบอยากอมอีก นอกจะว่าคุณจะมีรสนิยมในการกินอาการรสชาติแปลกๆ....

ลิ้นคนฟินแลนด์นี่มันยังไงกัน!!!

แต่สิ่งหนึ่งที่ผมชอบก็คือตัวแพ็คเกจของกล่อง Fazer ครับ มันมีกระดาษยื่นออกมาเป็นลิ้นด้านหน้า เวลาปิดฝาลงมาก็จะเป็นกลไกไปงัดกับฝากล่องที่พับเข้าด้านใน ทำให้ปิดสนิทแบบไม่หกเลย เวลาเปิดก็ไม่ใช้แรงด้วย ดันนิดเดียวก็ออก เยี่ยมมากๆ



จบการรายงานแต่เพียงเท่านี้ ผมขอตัวไปกินน้ำเหยือกใหญ่ๆ ก่อนละครับ รู้ละทำไมให้กินกับเบียร์....ก้อนเกลือชัดๆ แม่งเค็มจนหยดสุดท้าย

ทดลองโดย 96kattt


ปล.กินหมดแล้วแสบลิ้นนิดๆ อ่ะ....

วันเสาร์, กุมภาพันธ์ 08, 2557

เบียร์ญี่ปุ่น

เห็นว่าคนไทยชอบเบียร์ญี่ปุ่นกันอยู่เยอะครับ ก็เลยว่าจะเขียนเกี่ยวกับเบียร์ญี่ปุ่นสักหน่อย จะออกแนววิชาการนิด แต่พยายามจะไม่ให้เข้าใจยากเกินไปนะครับ

อนึ่ง ผมเป็นพวกขี้เกียจหารูปประกอบบทความ ติดนิสัยมาจากสมัยเน็ตบ้านยังช้าโหลดรูปนาน ถ้าจะทำให้น่าเบื่อไปบ้างก็ต้องขออภัยด้วยครับ

เบียร์ญี่ปุ่น ส่วนมากแล้วจะเป็นของบริษัทใหญ่ 4 แห่งที่เราๆ คุ้นชื่อกันดี คือ คิริน, อาซาฮี, ซัปโปโร แล้วก็ซันโทรี่ครับ บริษัทเหล่านี้จริงๆ ก็ไม่ได้ผลิตเบียร์เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีเครื่องดื่มทั้งมีแอลกอฮอล์และไม่มีแอลกอฮอล์ (ญี่ปุ่นจะเรียกว่า softdrink ทับศัพท์) ด้วย

เบียร์ญี่ปุ่นจะแบ่งเป็นระดับ จากบนไปล่างนะครับ

1.       เบียร์พรีเมียม (プレミアムビール)เป็นเบียร์ระดับสูงตามชื่อครับ ตัวอย่างก็เช่น เอบิสึ (ของซัปโปโร), เดอะ พรีเมียม มอลท์ (ของซันโทรี่), จุกุเซ็น (ของอาซาฮี) และฮาร์ทแลนด์ (ของคิริน) จะเห็นได้ว่าแต่ละค่ายก็จะต้องมีคลาสพรีเมียมของตนเองครับ ราคาจะแพง แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีคำจำกัดความหรอกครับว่ามันพรีเมียมยังไง นอกจากราคา, วัตถุดิบที่ใช้กับรสชาติ แล้วก็ข้อจำกัดที่หาไม่ได้ในคลาสอื่นบางประการ

2.       เบียร์ปกติธรรมดาทั่วไป หรือเรียกว่าเบียร์สด (生ビール) ซึ่งแต่ละค่ายก็มีหลายรุ่นเช่นกันครับ อย่างลาร์เกอร์ (ของคิริน), ซุปเปอร์ดราย (ของอาซาฮี), คุโระลาเบล (ของซัปโปโร), มอลท์ (ของซันโทรี่) เป็นต้น ซึ่งก็ต่างทั้งรสชาติและความเข้มข้นตามวัตถุดิบที่ใช้ในแต่ละรุ่นครับ เบียร์โดยมากจะนิยมใช้ข้าวสาลี

3.       ฮัปโปชู (発泡酒) แปลตามตัวว่า “เหล้ามีฟอง” ครับ ซึ่งฮัปโปชูนี้จะถือว่าเป็นเบียร์รองเกรดระดับค่อนข้างล่างจากเบียร์ปกติ (ที่ว่าค่อนข้างเพราะมันยังมีล่างกว่าครับ) หากถามว่าต่างจากเบียร์ตรงไหน? ก็ตรงวัตถุดิบครับ ซึ่งจะไม่ได้ใช้ข้าวสาลี แต่ใช้อย่างอื่นแทนอย่างข้าว หรือข้าวโพด ทำให้ได้เบียร์คุณภาพระดับรองลงมาจากเบียร์สด แน่นอนครับราคาก็ถูกกว่า แต่ปัจจุบันไม่มีใครขายแล้ว

4.       เบียร์ไดซัง (第三のビール) เป็นเบียร์ระดับล่างที่ถือว่าเป็นฮัปโปชูครับ มาแทนที่ฮัปโปชู บางคนไม่รู้จักไดซัง ก็ใช้คำว่าฮัปโปชูแทนได้เช่นกัน แต่วัตถุดิบและวิธีการผลิตก็ต่างกับฮัปโปชู คือไม่ใช้มอลท์ในการผลิตเลย และอาจะมีการผสมแอลกอฮอล์อย่างอื่น (ที่ไม่ใช่เบียร์ จำพวกโชจูหรือสปิริต) ที่ได้จากการหมักลงไปด้วย เป็นเบียร์ราคาถูก ซึ่งบางครั้งอาจทำให้สับสนกับเบียร์สด ผมเคยทำงานร้านอาหารไทยในญี่ปุ่น ลูกค้าเคยสั่งด้วยความเข้าใจผิดว่าเป็นเบียร์สดจนต้องมาเคลียร์กันตอนคิดเงิน เบียร์ประเภทนี้ก็ตัวอย่างเช่น เคลียร์อาซาฮี (ของอาซาฮี), มุกิ โตะ ฮ็อป (ของซัปโปโร), โนโดโงชิ (ของคิริน), คินมุงิ (ของซันโทรี่) เป็นต้น

5.       นอน แอลกอฮอล์ (ノンアルコールビール) ก็ตามชื่อครับ เป็นเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ แต่กลิ่นและรสชาติเหมือนกับเบียร์พอควร แค่ดื่มแล้วไม่เมา ตัวอย่างเช่น ฟรี (ของคิริน), พ้อยต์ เซโร่ (ของอาซาฮี), ซุปเปอร์เคลียร์ (ของซัปโปโร), ไฟน์ เซโร่ (ของซันโทรี่) เป็นต้น


ศัพท์น่ารู้เกี่ยวกับเบียร์&เครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ของญี่ปุ่น


พูดถึงการดื่มแอลกอฮอล์จะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในวัฒนธรรมญี่ปุ่นเลยนะครับ ถึงกับมีศัพท์ขึ้นมาว่า 飲みにケーション โนมินิเคชั่น เป็นการเอาคำว่า 飲む โนมุ ที่แปลว่าดื่ม กับ コミュニケーション คอมมิวนิเคชั่น ที่แปลว่าการสื่อสาร เอาง่ายๆ ก็คือไปคุยกันในวงเหล้าแหละครับ ซึ่งหลายๆ คนน่าจะเคยได้ยินว่าคนญี่ปุ่นมักจะพาลูกค้าไปรับรองด้วยการกินดื่มมาแล้ว การเลี้ยงรับรองนี่มีผลต่อการตัดสินใจในธุรกิจ หรือการคบค้าสมาคมของคนญี่ปุ่นค่อนข้างมากเลยล่ะครับ

เวลาดื่มเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ก็มีให้เลือกหลากหลายแบบ แต่ที่พบบ่อยก็จะเป็นศัพท์คำว่า 辛口 (คาระคุจิ) กับ 甘口 (อามะคุจิ) ซึ่งชาวต่างชาตินั้นจะไม่ค่อยมีใครทราบเท่าไหร่นักว่ามันคืออะไร แม้กระทั่งบางคนที่ทำงานพิเศษร้านอาหารก็ตาม เพราะมันเป็นการแบ่งประเภทรสชาติแบบเฉพาะของคนญี่ปุ่นจริงๆ ผมเป็นพวกขี้สงสัยครับ ว่าไอ้ที่เขียนบนฉลากพวกนี้มันอะไร ทำไมมีเผ็ด () กับหวาน () เลยเอาไปถามผู้จัดการร้าน+google จนได้รู้ (ขอบคุณมา ณ ที่นี้ครับ)

ผมเคยถามผู้จัดการว่า แล้วเบียร์ไทยของเรานี่มัน 辛 หรือ  เบียร์บ้านเราเข้มกว่าญี่ปุ่น แต่ผู้จัดการกลับตอบว่ามันหวาน  เฉยเลย งงล่ะสิครับทีนี้...รสชาติเข้มกว่ามันก็น่าจะเผ็ด 辛 ไม่ใช่เหรอ?

เอาตามความเข้าใจง่ายๆ 辛口 กับ 甘口 เนี่ย ไม่ได้หมายถึงรสชาติที่รู้สึกได้ชัดครับ แต่จะแบ่งกันที่ “ความเข้ม” ของเบียร์ พอมาถึงตรงนี้ก็จะเคลียร์ว่าทำไมเบียร์ไทยถึงหวาน 

辛口 ก็คือ dry ครับ รสชาติจะ clear (ซึ่งตรงนี้ผมก็อธิบายไม่ค่อยถูก ผมแพ้แอลกอฮอล์ครับ) แต่ก็พอจะเข้าใจนะว่าประมาณไหน ถึงจะ clear ก็จะค่อนไปทางรสอ่อนครับ ซึ่งโดยมากแล้วเบียร์ของญี่ปุ่นจะเป็น 辛口 เสียมาก

ส่วน 甘口 ก็จะตรงข้ามกันเลยคือ รสชาติจะเข้ม จากปากคำของเพื่อนญี่ปุ่นที่ติดใจรสชาติเบียร์สิงห์บ้านเราบอกว่า กลมกล่อมกว่าเบียร์ญี่ปุ่นที่เป็น 辛口 ครับ ซึ่งความเข้มทั้ง 辛口 กับ 甘口 ก็มีผลมาจากปริมาณน้ำตาลที่เกิดขึ้นจากการหมัก ยิ่งน้ำตาลเปลี่ยนเป็นแอลกอฮอล์มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมากขึ้น แต่รสชาติจะเข้มข้นน้อยลงด้วย

辛口 กับ 甘口 ไม่ได้ใช้แค่เฉพาะเบียร์ครับ แต่ยังใช้กับแอลกอฮอล์ประเภทอื่น เช่น นิฮงชู (ที่เราชอบเรียกกันว่าสาเก), โชจู (เทียบได้กับเหล้าขาว) หรือแม้กระทั่งไวน์ เวลาเราสั่ง บางครั้งเขาจะถามครับ ว่าจะรับเป็น 辛口 หรือ 甘口 ดี ชอบแบบไหนก็เลือกกันตามใจชอบเลยครับ

แต่อย่ากินแบบเมาแล้วขับก็แล้วกัน

ไว้คราวหน้า ถ้ามีเวลาอีก จะเขียนเรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่นๆ ของญี่ปุ่นบ้างครับ

96

Ref:
http://www.asahibeer.co.jp/enjoy/wine/know/wine/m_02.html
K.O.tenchou

วันจันทร์, กุมภาพันธ์ 03, 2557

นิสัยและทัศนคติของคนไทยที่ควรแก้

ผมว่าผมจะรวบรวม นิสัยที่คนไทยควรแก้ เผื่อจะลดหายนะ ก่อประโยชน์และความสุขในสังคมที่ร่วมกันอยู่ได้บ้างนะครับ ผมอาจจะเขียนตรงและแรงไป แต่ถ้าคิดว่าอ่านแล้วรับได้ เชิญเลยครับ

นิสัยและทัศนคติของคนไทยที่ควรแก้

1.   ชอบดูถูกคนอื่น อะไรไม่รู้แหละดูถูกไว้ก่อน ถ้ามันไม่ตรงกับความชอบหรือความเห็นตัวเอง
2.   พอดูถูกแล้วก็จะซ้ำเติม ใครผิดนี่จะเหยียบซ้ำ เพื่อความฟินของตนเอง
3.   กลัวโดนหาว่าโง่ที่สุด ข้อนี้ต่อเนื่องมาจาก 2 ข้อบนครับ เนื่องจากตนชอบดูถูกคนอื่น ก็จะใช้ตนเองเป็นพื้นฐานตัดสินในใจลึกๆ โดยไม่รู้ตัว ว่าคนอื่นก็ต้องคิดว่าตนโง่เช่นกันถ้าแสดงความไม่รู้ออกไป
4.   และเมื่อกลัวโดนหาว่าโง่ ทั้งๆ ที่ตนไม่รู้ ก็จะตอบรับ เออออห่อหมก ปิดบังความไม่รู้ของตน ด้วยการ (ต่อข้อ 5)
5.   แถ...แถได้ทุกสิ่งอัน แถมันไปเรื่อยๆ เนื่องจาก....(ต่อข้อ 6)
6.   ไม่ยอมรับว่าตนผิด เพราะกลัวข้อ 3 ครับ กลัวถูกหาว่าโง่ เนื่องจากในใจลึกๆ ก็รู้ดีว่าคนส่วนใหญ่นิสัยแบบข้อ 1 ก็เลยทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองไม่ผิด และต่อเนื่องไปถึงข้อ 7
7.   ไร้ซึ่งความรับผิดชอบต่อตัวเองและผู้อื่น คนบางคน ทำงานพลาด เจ้านายหรือลูกค้าจะถามถึงสาเหตุ หรือการแก้ไข แต่มักจะตอบว่าไม่รู้ ไม่ทราบ ทั้งๆ แค่ใช้ความคิดเสนอวิธีแก้ปัญหา หรืออย่างน้อยที่สุดคือแสดงความพยายามรับผิดชอบด้วยการตอบว่า “แล้วจะหาคำตอบให้” เท่านี้ก็พอแล้ว แต่....ไม่ทำ หรือไม่ก็โยนไปให้คนอื่น แผนกอื่น ซึ่งสาเหตุอาจจะมากับข้อ 6
8.   ย้อนกลับไปที่ข้อ 3 เนื่องจากกลัวคนดูถูก ก็จะกลายเป็นว่าบางคน ไม่กล้าทำอะไร ไม่กล้าแสดงออก ไม่กล้าแม้แต่จะถามคำถามที่ตนสงสัยเพราะกลัวถูกหาว่าโง่

ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ (ซึ่งอันที่จริงผมคิดว่ามันมีเยอะกว่านี้) เป็นทัศนคติที่ผมคิดว่าคนไทยควรแก้ไขเป็นที่สุด เพราะมันแสดงให้เห็นถึงความไร้ความรับผิดชอบ เห็นแก่ตัว มักง่าย ไม่เคารพผู้อื่น ปิดกั้นการพัฒนา และก่อหายนะแก่หน่วยเล็กๆ จนไปถึงระดับประเทศเลยล่ะครับ

ผมเองไม่ใช่เทวดา การที่ผมออกมาชี้แบบนี้ก็ดูเหมือนอวดดีและกล่าวหาด้านเดียวครับ ผมทราบ แต่ผมว่าลึกๆ แล้วพวกท่านเองก็น่าจะทราบดีว่าปัญหาเกิดจากอะไร แต่ด้วยวัฒนธรรมไม่เป็นไร ที่ผมเขียนขึ้นมาก่อนหน้านี้ ทำให้หลายคนเมินเฉย ไม่รับรู้ต่อปัญหา ปัญหาจึงไม่ได้ถูกแก้

ถึงผมเพิ่งจะมีชีวิตอยู่ไม่กี่ปี ยังน้อยถ้าเทียบกับผู้ใหญ่อีกเป็นพันล้านคน แต่ผมก็พอจะเข้าใจว่าปัญหาใหญ่ๆ มันก็เหมือนแม่น้ำ มันเกิดมาจากจุดเล็กๆ ที่ทุกคนมองข้ามกันทั้งนั้น

เคยมีคนพูดว่า ก่อนจะเริ่มแก้ปัญหา คุณต้องมองเห็นและยอมรับเสียก่อนว่ามันมีปัญหา ตามสภาพความเป็นจริง คนเป็นฟันเฟืองผลักดันสังคมครับ เฟืองเล็กๆ เพี้ยนไปตัวเดียว ก็พากันเพี้ยนทั้งระบบได้

การแก้ไขปัญหาทุกอย่างเริ่มได้จากหันมามองตัวคุณเองครับ

96

วัฒนธรรม “ไม่เป็นไร” ที่เขียนขึ้นก่อนหน้านี้

วันเสาร์, กุมภาพันธ์ 01, 2557

วัฒนธรรม "ไม่เป็นไร"

เราคงเคยได้ยิน หรือถูกสอนมา ว่าประเทศไทย คือสยามเมืองยิ้ม คนไทยใจดี มีอะไรให้อภัย ไม่ถือโทษโกรธกัน “ไม่เป็นไร”

ครับ นั่นคือภาพลักษณ์ที่ดีของ “ไม่เป็นไร” แบบไทยๆ ที่เราเห็นกันจนชินตา

แต่อีกมุมหนึ่ง “ไม่เป็นไร” กลับทำให้เกิดความเสียหายมานักต่อนัก มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่กรณี ความเสียหายนั้นเกิดขึ้นมาจากการใช้ “ไม่เป็นไร” แบบผิดที่ผิดเวลา ผิดสถานการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับการทำงานและธุรกิจ

ส่วนตัวแล้ว คำว่า “ไม่เป็นไร” นั้น ผมคิดว่าควรนำไปใช้กับการให้อภัย การปลอบใจ และให้กำลังใจเสียเป็นส่วนมาก แต่กลับเห็นการใช้ผิดๆ เช่น ใช้ในการปล่อยปะละเลย

แซงคิว ไม่เป็นไร หยวนๆ
ไม่ปฏิบัติตามกฎ ก็ไม่เป็นไร
พนักงานไม่ทำตามที่สั่งมาเพราะยุ่งยาก เอาเถอะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยตามแก้ทีหลัง

คำว่าไม่เป็นไร ในความหมายดีๆ จึงกลับกลายเป็นคำที่ใช้อ้าง ด้วยความมักง่าย

ผมเคยมีประสบการณ์ การทำงานพิเศษในร้านอาหารไทยในญี่ปุ่น ผมเคยฟังผู้จัดการร้านบ่นถึงเพื่อนร่วมงานคนไทยอีกคนหนึ่งว่า ทำไมเวลาฟังเขาอธิบายอะไรถึงต้องพยักหน้าแล้วก็บอกว่าเข้าใจแล้ว ทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจ แล้วไปทำผิดจนเกิดความยุ่งยาก ทำไมคนไทยไม่เข้าใจถึงไม่ถาม เขาพูดกับผมว่า คำว่าไม่เป็นไร มันเป็นคำที่ดี แต่อย่าคิดว่ามันจะใช้ได้กับทุกเรื่องนะ

ประโยคหลังสุดเป็นประโยคที่ผมจำขึ้นใจ

อย่าคิดว่า “ไม่เป็นไร” จะใช้ได้กับทุกเรื่อง

การปล่อยผ่านละเลย กับอะไรหลายๆ อย่าง ทำให้ผมต้องหันมามองประเทศนี้ใหม่ เวลาเปลี่ยนไป ค่านิยมเปลี่ยนไป การใช้ชีวิตและดำเนินชีวิตก็เปลี่ยนไป ทำให้คนเปลี่ยน เมื่อคนเปลี่ยน สังคมก็เปลี่ยนตาม

จากเรื่องที่ไม่ควรจะเป็นแบบนั้น กลับกลายเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ทำกันตามปกติไปเสียฉิบ การปล่อยปะละเลยยิ่งขยายจากหน่วยเล็กๆ เป็นปล่อยปะละเลย มักง่าย แล้วแทนที่ด้วยคำว่า “ไม่เป็นไร” ประกอบเหตุผลเข้าข้างตัวเองนาๆ ล้านแปด

สิ่งที่เห็นได้ชัดเป็นอย่างยิ่ง คือคติในการทำงานใดๆ ของคนไทยหลายๆ คน

คนไทยไม่ค่อยจะมีความรักในองค์กรสักเท่าไหร่ อย่างที่เราเรียกกันว่าการทำงานเช้าชามเย็นชาม 

“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ ใส่ใจทำมากก็ได้เท่าเดิม ฉันไม่เห็นมีความจำเป็นต้องไปทำให้มันดีเลย”

คติแบบนี้อันตรายครับ คนไทยหลายคนไม่เคยคิดว่า การทำงานไปงั้นๆ ไม่เป็นไร ผ่านไปวันๆ จะทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง

ตรรกะง่ายๆ หากคุณทำงานไม่ดี ผลประกอบการออกมาแย่ บริษัทจำต้องปิดตัวลง ผลคือคุณตกงาน แต่สำหรับบางคน ก็อาจจะ “ไม่เป็นไร” อีก เพราะไม่ใช่เจ้าของที่ต้องมาแบกรับปัญหากิจการล้มละลาย แต่ก็ไม่เคยตระหนักเช่นกันว่าฟันเฟืองเล็กๆ อย่างตัวเองนั้นก็มีส่วนช่วยให้องค์กรล้มละลาย

ผู้จัดการร้านเคยบอกผมว่า ทุกอย่างเป็นวงกลม หากคุณทำไม่ดี สิ่งนั้นก็จะส่งผลย้อนกลับมาหาคุณ ไม่ผิดเลยครับ การจะทำอะไรสักอย่างก็ทำให้เต็มที่ ไม่ใช่คิดว่า “ไม่เป็นไร” แล้วมาตามไล่แก้ปัญหาทีหลัง ทำไมเราถึงต้องทำงานซ้ำซ้อนและเสียเวลา เสียโอกาสด้วย?

วัฒนธรรม “ไม่เป็นไร” ของคนไทยในปัจจุบัน ผมมองว่ามันส่งผลในระดับชาติ มันทำให้เกิดความหละหลวมในอะไรหลายๆ อย่าง ซึ่งทั้งที่จริงไม่ควรจะมี

“ไม่เป็นไร” ที่กลับมาพร้อมกับความมักง่าย และความประมาทอย่างร้ายแรง

ผมหวังว่า ผู้ที่ได้อ่านสิ่งที่ผมเขียนขึ้นจะฉุกคิด และตระหนักเวลาจะทำอะไร หรือผ่อนปรนอะไร ว่าสิ่งที่จะทำจะส่งผลแค่ไหน การมองโลกในแง่ดีไม่ใช่เรื่องผิด แต่ผมคิดว่าการมองโลกในแง่ลบอีกด้านหนึ่ง มันจะเป็นการช่วยให้ชีวิตมีปัญหาน้อยลง ทำให้ตัวเองและคนรอบข้างใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขขึ้น

บางครั้งการมองโลกในแง่ดี กับคำว่าประมาท มันต่างกันเพียงแค่กระดาษบางๆ กั้นเท่านั้นครับ

อย่าปล่อยปะละเลย เพียงเพราะแค่คิดว่า “ไม่เป็นไร ฉันสบายก่อน”
อย่าปล่อยปะละเลย เพียงเพราะแค่คิดว่า “ไม่เป็นไร ใครๆ เขาก็ทำกัน”
อย่าปล่อยปะละเลย เพียงเพราะแค่คิดว่า “ไม่เป็นไร ไม่เกี่ยวกับฉัน”

แล้วสังคมเราจะน่าอยู่ขึ้นครับ


96